“คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นลายหน้าจั่ว ขนมปังขิง แบบนี้ที่ไหนหนอ?” คำถามในใจ ขณะกำลังละเลียดชมความงามของภาพอาคารไม้เก่าแก่กว่าหนึ่งร้อยปี ในฐานะที่เป็นภาพประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของป่าไม้เมืองไทย นั่นคือ ภาพอาคารของบริษัทบอมเบย์ เบอร์มา ธุรกิจต่างชาติแห่งแรกที่เข้ามาทำไม้ในดินแดนล้านนาไทย ณ เมืองแพร่ – เมืองไม้สักทองคุณภาพดีที่สุดของโลก อดิศรเพิ่งถ่ายนี้ไว้เมื่อราว 2 เดือน ก่อนอาคารประวัติศาสตร์ล้ำเลอค่าจะถูกรื้อทำลาย เหลือแต่เพียงภาพถ่ายไว้เป็นอนุสรณ์ ด้วยเหตุผลที่มีเงื่อนงำ
จั่วคุ้มหนานไชยวงศ์ ก็มีลายแบบนี้ (หนาน ภาษาเหนือ คือ ทิด ในภาษากลาง)
ปีติในดวงใจบังเกิดท่ามกลางความรันทดหดหู่ ด้วยคุ้มหรือบ้านหนานไชยวงศ์ทรงคุณค่า ได้รับการคุ้มครองแล้ว โดยสมาคมสถาปนิกสยาม ยกย่องเป็น “อาคารอนุรักษ์สถาปัตยกรรม” ประจำปี 2555 เป็นคุ้มแบบล้านนาผสมผสานด้วยลวดลายแบบ “ขนมปังขิง” (Ginger Bread House) ซึ่งศาสตราจารย์วิบูลย์ ลี้สุวรรณ อธิบายไว้ในหนังสือ “พจนานุกรมศัพท์ศิลปกรรมไทย ฉบับพิมพ์ พ.ศ. 2559 ว่า
สำหรับตกแต่งอาคารมีลักษณะคล้ายขนมปังขิง ขนมปังขิง : ลวดลายฉลุไม้ (Ginger Bread) ได้รับอิทธิพลจากตะวันตก เป็นที่นิยมมากในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยใช้ตกแต่งจั่ว ตัวอาคาร พระที่นั่ง ตำหนัก และบ้านเรือน
อาคารขนมปังขิงที่โดดเด่นและโด่งดังมาก ในฐานะเรือนไม้สักทองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก คือพระที่นั่งวิมานเมฆ อีกหนึ่งงานชิ้นเอกของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ผู้ได้รับสมัญญานาม “นายช่างใหญ่แห่งกรุงรัตนโกสินทร์”
โดยมีรายละเอียดของตำหนักต่าง ๆ ที่คงลวดลายฉลุไม้ มี ตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหาร ที่ประดับลายขนมปังขิง ในขณะที่เมืองแพร่ มีเรือนขนมปังขิงหลายหลัง ที่เลื่องชื่อมากเห็นจะไม่มีหลังใดเกิน “บ้านวงศ์บุรี” เพราะสวยคลาสสิกจนกองละครนับไม่ถ้วนเรื่อง เลือกบ้านหลังนี้เป็นสถานที่ถ่ายทำ
โดยลวดลายฉลุไม้แบบ Ginger Bread คุ้มวงศ์บุรี กับคุ้มเจ้าหนานไชยวงศ์ เกี่ยวพันกันทางเครือญาติ ด้วยคุ้มวงศ์บุรีสร้างขึ้นตามดำริของแม่เจ้าบัวถา มหายศปัญญา ชายาองค์แรกในเจ้าหลวงพิริยเทพวงศ์ เจ้าผู้ครองนครแพร่องค์สุดท้าย เพื่อเป็นของกำนัลในพิธีเสกสมรสระว่างเจ้าสุนันตา ออกแบบบ้าน ผู้เป็นบุตรีเจ้าบุรีรัตน์ (น้อยหนู มหายศปัญญา) ที่ท่านรับมาเป็นบุตรีบุญธรรม และหลวงพงษ์พิบูลย์ (เจ้าพรหม วงศ์พระถาง) โดยท่านทั้งสองได้ใช้เรือนหลังนี้เป็นเรือนหอในพิธีเสกสมรสด้วย เริ่มก่อสร้างใน พ.ศ. 2440 แล้วเสร็จในปี 2442 โดยได้ช่างชาวจีนจากมณฑลกวางตุ้งมาควบคุมการก่อสร้าง
ส่วนคุ้มเจ้าหนานไชยวงศ์ หรือบ้านเจ้าทิดไชยวงศ์ สร้างราว พ.ศ. 2450 น้อยหนู มหายศปัญญา เป็นเจ้าบุรีรัตน์ เจ้าของคุ้มวงศ์บุรี สร้างเพื่อเป็นเรือนหอให้ธิดาคือ เจ้าสุธรรมมา มหายศปัญญา และเจ้าหนานตึ หัวเมืองแก้ว บุตรเขย ที่มีอาชีพทำป่าไม้เช่นเดียวกัน จัดเป็นบ้านแบบขนมปังขิง สร้างจากไม้สักทองทั้งหลัง ทาด้วยสีครีมน้ำตาลหรือสีไข่ไก่ขลิบแดง ด้านในไม่ทาสีเพื่อให้เห็นเนื้อไม้ หลังคาเป็นทรงมนิลา มุงด้วยไม้แป้นเกล็ด ประดับลายฉลุสวยงาม สันนิษฐานว่าเป็นช่างชุดเดียวกับที่สร้างคุ้มวงศ์บุรี
ส่วนตัวบ้านไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างดีเท่าที่ควร ส่วนคุ้มวงศ์บุรี แต่ด้วยเหตุที่คุ้มเจ้าหนานจึงแลดูไม่โดดเด่นเท่า แต่กระนั้น ก็มีหลายมุมที่หาดูจากบ้านหลังอื่นได้ยาก อาทิ ลายฉลุหน้าจั่วงามพิสุทธิ์ ลายเดียวกับจั่วอาคารบอมเบย์ เบอร์ม่า ทว่า ฉลุลายได้ละเอียดละออตากว่าเยอะ อีกทั้งที่หน้าต่างชั้นล่างของคุ้ม ยังมีกันสาดไม้โค้งประดับเสาสุดเท่ ซึ่ง อ.ปองขวัญ สุขวัฒนา ลาซูศ อุปนายกสมาคมอนุรักษ์ศิลปกรรมและสิ่งแวดล้อม และกรรมการพิทักษ์มรดกสยาม สยามสมาคมฯ ให้ความกระจ่างว่า สถาปัตยกรรมตะวันตกมาอยู่ในประเทศที่มีภูมิอากาศร้อนชื้น (tropical) จึงจำเป็นต้องทำกันสาดยื่นมาคลุมหน้าต่างเพื่อกันแดดกันฝน ซึ่งก็แล้วแต่ การออกแบบของสถาปนิก ว่าจะทำแบบใดให้สวยงาม บางครั้งก็ทำลักษณะลาดลงตรงๆ
แต่ในกรณีคุ้มเจ้าหนานฯ น่าจะอยากให้มีความสวยงามอ่อนช้อยเข้ากับโค้งลายไม้ฉลุด้านหน้า เลยออกแบบให้มีความโค้งและลาดเอียงลงมาเพื่อให้น้ำฝนไหลลง ซึ่งไม่ค่อยเห็นที่อื่นทำแบบนี้”
ส่วนด้านบนของคุ้ม นอกจากนั้น ที่ชั้นสองของคุ้มด้านบน ยังมีประตูบานเปิดยาวถึงพื้นและมีราวกันตก ทีเด็ดอยู่ที่ลายฉลุใต้ราวกันตก ที่งามลลิตา หรืองามอย่างน่ารักน่าเอ็นดู ซึ่ง อ.ปองขวัญ วิเคราะห์ว่า ลายบ้านหลังนี้หนักไปทางดอกไม้ ใบไม้ ซึ่งรับอิทธิพลจากฝรั่ง แต่ช่างไทยมาดัดแปลงปรับลาย เมื่อมาเห็นพืชพรรณแบบไทย จึงออกมาเป็นลายลูกครึ่งฝรั่ง – ไทย ทั้งที่หน้าจั่วและใต้ราวกันตก ถือเป็นเสน่ห์ของคุ้มหลังนี้ ที่หาชมไม่ได้ง่ายนัก

ขนมปังขิง
บ้านที่เป็นชื่อขนมปังชนิดหนึ่งของชาวตะวันตก ที่มีส่วนผสมของพืชสมุนไพรหลากหลายชนิด อาทิ อบเชย กานพลู โป๊ยกั๊ก กระวาน ผักชี ขิง ลูกจันทน์เทศ แต่ชาวตะวันตกเรียก Ginger Bread เมื่อขนมนี้เข้าในไทยสมัยอังกฤษ ฝรั่งเศสมาล่าอาณานิคม คนไทยจึงเรียก ขนมปังขิง หรือ ขนมขิง อีกทั้งฝรั่งตะวันตกยังเรียกบ้านที่ประดับลวดลายที่มีลักษณะหงิกงอคล้ายขิงว่า Ginger Bread House สถาปัตยกรรมประดับลวดลายแบบนี้ เริ่มนิยมในสมัยพระนางเจ้าวิกตอเรีย ขึ้นเป็นจักรพรรดินีของอังกฤษ ขนมปังขิงจึงมักอยู่คู่กับอาคารศิลปะ “วิกทอเรียนกอทิก” อาทิ สถานีรถไฟฉัตรปตี ศิวาจี เมืองมุมไบในอินเดีย
บ้านเรือนสไตล์ต่าง ๆ ทั่วโลกได้เข้ามามีบทบาทต่อรูปลักษณ์ของบ้านในเมืองไทยเราอย่างมาก เมื่อเรามองดูรูปลักษณ์ของที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะบ้านเดี่ยว เราจะพบเอกลักษณ์ที่น่าสนใจของบ้านแต่ละหลังที่คนไทยรับเอารูปแบบของเขามาสร้าง ซึ่งก็ไม่แปลกอะไร ทีฝรั่งยังเอาเรือนไทยเราไปสร้างเยอะแยะไป
แต่เหตุผลสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม หรือละเลย คือความเหมาะสมต่อสภาพภูมิอากาศของประเทศเรา ไม่ว่าเราจะเอารูปแบบใดมาใช้ ถ้ามันเหมาะ ก็จะอยู่สบาย และได้รับความนิยม นี่เป็นหัวใจสำคัญ จะตรงกับคำที่ว่า “สวยแต่รูป จูบไม่หอม” ถ้าบ้านสวยแล้วอยู่ไม่สบาย คุณก็ต้องทนอยู่ เพราะเสียเงินสร้างมาแล้ว…อย่างนี้จะดีเหรอครับ ด้วยการที่ บ้านเรา เป็นบ้านในเขตภูมิอากาศร้อน-ชื้น (Tropical climate) อย่างเช่น ไทย มาเลเซีย บาหลี การออกแบบหรือลักษณะบ้านที่สำคัญคือ ต้องสามารถป้องกันแดด ฝน ลม และมีการระบายอากาศที่ดี
ส่วนเรื่องความสวยงามหรือสไตล์บ้านนี่ มักเปลี่ยนไปตามกาลเวลาคล้ายแฟชั่น ซึ่งเป็นผลกระทบจากอิทธิพลทางสังคม วัฒนธรรม และการเมือง ที่แพร่ขยายเข้ามาสู่ประเทศในระยะเวลานั้นๆ บ้านในยุคที่อังกฤษและฝรั่งเศสออกล่าอาณานิคม ที่แพร่หลายไปทั่วโลก คือบ้านสไตล์โคโลเนียล โดยความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองการค้าและอารยธรรมจากซีกโลกตะวันตก ได้แพร่เข้ามาก่อน บ้านที่ชาวต่างชาติเข้ามาสร้างอยู่จะเป็นแบบอย่างให้คนไทยลอกเลียนแบบ จนในที่สุดก็ทำให้เกิดบ้านสไตล์สากล (International Style) อย่างปัจจุบัน อิทธิพลนี้ถ้าเรียกตามภาษาการตลาด คือกระแสความนิยมนั่นเอง ซึ่งตอนนี้กระแสความนิยมเรื่องบ้านไม่ได้มาจากตะวันตกอีกแล้ว แต่มาจากตะวันออกด้วยกัน คือมาสู่ยุคบ้านบาหลี ไม่ว่าบ้าน สปา รีสอร์ท โรงแรม ล้วนเป็นบาหลีไปหมด
ก่อนหน้านี้คนจีนที่อพยพมาหากินในประเทศไทย ได้นำวิธีการก่อสร้างเรือนแถวที่เป็นดินมาก่อสร้างที่อยู่อาศัยกันก่อน แต่ด้วยรูปแบบวิธีการนั้นคนไทยไม่นิยม จึงไม่แพร่หลาย มีเพียงชาวจีนเท่านั้นที่สร้างอยู่กันเอง และก็สูญหายไปในที่สุด แต่เรือนปั้นหยา เป็นเรือนสมัยใหม่ที่รับอิทธิพลจากต่างชาติทางตะวันตกนั้น เริ่มต้นจากที่รัชกาลที่ 4 ทรงศึกษาภาษาอังกฤษและติดต่อค้าขายกับต่างชาติ และทรงสร้างเรือนปั้นหยาไว้ในเขตพระราชวังต่าง ๆ ก่อน จุดเด่นของหลังคาปั้นหยาคือ ชายคาที่คลุมรอบ 4 ด้าน ต่างจากเรือนไทยเดิม ซึ่งเป็น ชายคา 2 ด้าน มีหน้าจั่ว จากเรือนปั้นหยาก็วิวัฒนาการมาเป็นเรือนมนิลา มีจั่วด้านหน้า 1 ด้าน และชายคาคลุม 3 ด้าน แล้วก็ถึงยุคบ้านสไตล์วิคตอเรียน โดยส่วนรวมบ้าในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 เป็นบ้านพักของสถานทูตฝรั่งเศส งดงามด้วยฉลุไม้ และระเบียงร่มเย็น เริ่มต้นจากในรั้วในวัง และวัดวาอาราม ความนิยมก็มาสู่พ่อค้า คหบดี ในช่วงนั้นกรุงเทพฯ ก็จะมีบ้านในสไตล์นี้สร้างตามกันมามากมาย รวมทั้งรูปแบบที่เน้นการประดับลวดลายฉลุไม้ ที่เรียกว่า เรือนขนมปังขิง